ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

อย่ามองข้ามฟันน้ำนม


          ปัญหาสุขภาพช่องปากของเด็กปฐมวัย (0-5 ปี) ที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่โรคฟันผุและปากแหว่งเพดานโหว่ซึ่งเป้นความพิการแต่กำเนิด
          ปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ในเด็กไทย พบประมาณ 1 ใน 400-500 ของการเกิด หรือประมาณ 1,500 รายต่อปี
          ส่วนโรคฟันผุ มีอุบัติการณ์ค่อนข้างสูง การสำรวจในปี 2550 พบว่า เด็กอายุ 3 ปี จำนวน 491,200 คน หรือร้อยละ 61.4 มีฟันน้ำนมผุ โดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุด 3.2 ชี่ต่อคน
          ลักษณะทางระบาดวิทยาชี้ว่าอัตราการเกิดโรคฟันผุจะเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงที่เด็กอายุ 1-2 ปี ทั้งนี้ เริ่มพบฟันผุตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 9 เดือน ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ฟันที่ผุเกือบทั้งหมดจะเป็นฟันหน้าบน
         ผลกระทบของโรคในช่องปากกับคุณภาพชีวิตของเด็กปฐมวัย
         โรคในช่องปากส่วนใหญ่แม้จะไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต แต่เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชากร ปัญหาสุขภาพของเด็กที่มีสาเหตุมาจากการมีฟันน้ำนมผุ ได้แก่ ความเจ็บปวดทรมาน มีการแพร่กระจายของการติดเชื้อไปยังบริเวณใบหน้าและคอ เราจึงมักเห็นเด็กหน้าบวมจากการปวดฟัน
         มีการศึกษาพบว่าเด็กมีฟันผุหลายซี่ในปากทำให้เด็กมีปัญหาการบดเคี้ยว ส่งผลต่อน้ำหนักและการเจริญเติบโตของเด็ก อาจเป็นสาเหตุให้เด็กแคระแกร็น (เตี้ยกว่ามาตรฐานอายุ) เพราะขาดอาหารเรื้อรังได้ การมีฟันน้ำนมผุยังมีผลต่อการเกินฟันผุและพัฒนาการของฟันแท้ด้วย

พฤติกรรมเสี่ยง เด็กเริ่มแปลงฟันช้า

         เด็กปฐมวัย (0-5 ปี) เป็นกลุ่มที่มีโรคฟันผุมากที่สุด แต่ก็เป็นกลุ่มที่เข้าถึงบริการน้อยที่สุด เป็นที่ทราบกันดีกว่าเพื่อป้องกันฟันผุ เด็กควรได้รับการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ตั้งแต่ฟันขึ้นชี่แรก และผู้ปกครองควรแปรงให้จนเด็กมีอายุ 7-8 ปี
         ในเด็กปฐมวัย พบว่าเริ่มแปลงฟันครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ยประมาณ 13 เดือนขึ้นไป ซึ่งค่อนข้างล่าช้าเมื่อคำนึงถึงอัตราการเกิดฟันผุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 9-18 เดือน และผู้ปกครองส่วนใหญ่ปล่อยให้เด็กแปรงฟันเองตั้งแต่อายุประมาณ 2-3 ปี
         การสำรวจของเอแบคโพลล์ ปี 2554 พบว่าผู้ปกครองที่เคยแปรงฟันให้เด็ก ร้อยลำ 28.9 เริ่มแปลงให้เมื่อเด็กมีฟันชี่แรกขึ้น (6 เดือน) ร้อยละ 52.6 เริ่มแปรงเมื่อเด็กเริ่มตั้งไข่ เดินหรือวิ่งได้ (9 เดือน 1 ขวบครึ่ง) ร้อยละ 18.5 เริ่มแปรงเมื่อเด็กตักข้าวกินเองได้หรือมีฟันขึ้นเต็มปาก (2-2 ขวบครึ่ง)
         นอกจากนี้ เด็กส่วนใหญ่แปรงฟันเฉพาะเวลาเช้าเพียง 1 ครั้งและเด็กยังคงดูดนมขวดก่อนนอนแม้จะแปรงฟันแล้วถึงร้อยละ 44

พฤติกรรมเสี่ยง เด็กไทยกินน้ำตาลมากและบ่อยเกินไป

          อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงพื้นฐานที่เป็นภัยคุกคามสุขภาพ คือพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานมัน เค็มมากเกินไปกินผักและผลไม้น้อย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมของปัญหาสุขภาพทั่วไปและสุขภาพช่องปาก
          ข้อมูลการบริโภคน้ำตาลของคนไทยปี 2540-2553 แสดงให้เห็นว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยสูงกว่า 30 กิโลกรัม/คน/ปี เป็นระดับที่มากกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 3 เท่า สำหรับวัยเด็ก
          ปัญหาการบริโภคเริ่มจากการดื่มนมหรืออาหารเหลวที่มีน้ำตาลโดยใช้ขวด ข้อมูลจากสำนักทันตสาธารณสุข พบวาเด็ก 0-3 ปี ยังบริโภคนมหวานร้อยละ 189 เด็กกลุ่มนี้กว่าร้อยละ 60 ยังใช้ขวดซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเกิดฟันผุ
          เด็กแรกเกิด -3 ปี ที่บริโภคนมรสหวาน จะมีฟันผุมากกว่าเด็กที่ไม่บริโภคถึง 3 เท่า แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเด็กที่กินขนมมากกว่าวันละ 2 ครั้ง ก็จะมีฟันผุมากกว่า แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน

แก้ปัญหาเด็กฟันผุ ผู้ปกครองคือเป้าหมายหลัก
          เนื่องจากการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัยต้องอาศัยผู้ปกครองลงมือเป็นหลัก การเพิ่มศักยภาพให้ผู้ปกครองสามารถแปรงฟันให้เด็กได้สะอาดและทำอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องจำเป็น
          มีการวิจัยทางสังคม เพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งและทักษะของผู้ปกครองที่เป็นปู่ย่า ตายายพบว่าหากฝึกปฏิบัติแบบตัวต่อตัว (hand-on) เพื่อให้เรียนรู้ท่าทางและวิธีแปรง ให้การแปรงฟันทำพร้อมกับการทำความสะอาดร่างกายตอนอาบน้ำ และใช้แรงเสริมจากกลุ่มและเพื่อนบ้าน จะทำให้ผู้ปกครองแปรงฟันให้เด็กได้สะอาด ทำเป็นประจำ และเด็กมีฟันผุลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการสนับสนุนความเข้มแข็งชุมชนผ่านทางแกนนำ ช่วยให้ผู้ปกครองแปรงฟันเด็กสม่ำเสมอและเด็กมีฟันผุลดลง
          นอกจากนี้ หากฝึกผู้ปกครองหรือครูให้ตรวจช่องปากเด็กบ่อยๆ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง จะช่วยให้เด็กได้แปรงฟันสม่ำเสมอและมีฟันผุน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ 

ขับเคลื่อนสังคมให้เห็นคุณค่าฟันน้ำนม
          ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคิดว่าฟันน้ำนมเป็นฟันชุดแรกที่มีอายุการใช้งานไม่ยาว หากเสียไปยังมีฟันแท้มาแทนที่
          การเกิดฟันผุในฟันน้ำนมยังเกิดง่ายกว่าและลุกลามเร็วกว่าฟันแท้มาก ผู้ปกครองตั้งตัวไม่ค่อยทันจึงต้องมีการรณรงค์ให้เกิดการรับรู้ถึงความสำคัญของฟันน้ำนม ซึ่งเป็นอวัยวะของวัยเด็กที่ฟันแท้ทดแทนไม่ได้ และให้ผู้ปกครองลงมือปฏิบัติเรื่องการแปรงฟันให้เด็กตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น
         หากผู้ปกครองแปรงฟันให้เด็กตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้นจะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กฟันผุ หรือช่วยชะลอการเกิดฟันผุให้ช้าลง
               
ที่มา: หนังสือนิตยสารหมอชาวบ้าน "เรื่องสุขภาพช่องปาก" ประจำเดือนมกราคม 2556

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

หมอนวดผ้าขาวม้า 'บำบัด รักษา' ผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น



 
       
     การดูแลรักษาสุขภาพหรือรักษาอาการปวดเมื่อยสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้คนในวัยทำงานมีหลายวิธี มีวิธีหนึ่งเกิดจากความรู้ภูมิปัญญาไทย ที่ยังสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อยได้โดยไม่จำเป็นต้องพึงยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบจากแพทย์แผนปัจจุบัน
       อุปกรณ์ลูกกลมๆ ห่อด้วยผ้าขาวม้า 1 ผืนใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่มีตัวยาอยู่ในลูกประคบนั้น เป็นภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ตำบล วังน้ำคู้ที่ยังปรากฎให้เห็นในการบำบัดรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หลังเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
        ลุงจำรัส ตักเตือน หนึ่งในกรรมการกลุ่มคลังปัญญา ชมรมผู้สูงอายุ ที่รูจักกันในนาม "หมอนวดผ้าขาวม้า" ตำบลวังน้ำคู้ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เจ้าของความคิดลูกประคบผ้าขาวม้า เล่าถึงที่มาของการทำลูกประคบด้วยผ้าขาวม้าว่า คนสมัยก่อนมักเล่นลูกช่วงในเทศกาลสงกรานต์ โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่ายให้เท่าๆ กัน แล้วเริ่มโยนลูกช่วง หากเขาขว้างมาโดนเรา เราก็ต้องไปเป็นทาสฝ่ายเขา หากฝ่ายไหนแพ้จะมีการลงโทษ อาจเป็นการรำวงหรือให้ทำอะไรก็ได้
         "ลุงได้แนวคิดและวิธีการมัดลูกช่วง นำมาประยุกต์ทำเป็นลูกประคบด้วยผ้าขาวม้า ลุงมีความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อปี 2549 หลังกลับจากทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะไปทำงานแบกหามกว่า 20 ปี ทำให้ลุงเกิดอาการปวดเมื่อยแขน ขา นานไปแขนเริ่มยกไม่ขึ้น กล้ามเนื้ออักเสบทั้ง 2 ข้าง
          ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอให้ยามากิน กินเท่าไรก็ไม่หาย เลยลองเปลี่ยนไปหาหมอนวด เขานวดแบบ จับเส้น ตอนนั้นทั้งเจ็บและปวดจนน้ำตาไหลแต่ก็ไม่หายเลยมานึกถึงตอนหนุ่มๆ ที่เล่นลูกช่วง ที่มีลักษณะของกลมๆ ผูกมัดด้วยผ้าขาวม้า เลยลองทำแล้วเอามาหนุนหลังนอน เมื่อใช้ส่วนที่ปวดเมื่อยมานอนทับ รู้สึกว่าอาการบรรเทาลงมาก จึงนำความรู้มาเผยแพร่โดยการทำลูกประคบมานวดให้กับคนที่ปวดเมื่อย จนกลายมาเป็นคลังปัญญาในชมรมผู้สูงอายุ"
          จากภูมิปัญญาการเล่นลูกช่วงสำหรับเทศกาลสงกรานต์ ทาง อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) วังน้ำคู้เห็นความสำคัญและสนับสนุนส่งเสริมเรื่องงบประมาณจนกลายมาเป็นแหล่งเรียนรู้กลุ่มคลังปัญญาผู้สูงอายุภายใต้ การสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
          ลุงจำรัสเล่าถึงข้อดีของการใช้ลูกประคบผ้าขาวม้าว่าการนวดและใช้ลูกประคบผ้าขาวม้าเราสามารถกะน้ำหนักเองว่าสามารถกดจุดตรงนี้แรงได้ เบาได้ แต่ถ้าหากเราไปนวดกับหมอนวดเขาไม่รู้จักน้ำหนักเรา เขาก็นวดเบา นวดแรง กะน้ำหนักไม่ได้ส่วนนี้อาจได้รับความเจ็บปวด
         ข้อดีอีกข้อหนึ่งคือไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะทำเอง ใช้เอง หากใครต้องการลูกประคบผ้าขาวม้าไปใช้ลุงจำรัสจะสอนวิธีการมัดลูกประคบให้ฟรีอีกด้วย
         วิธีการทำลูกประคบผ้าขาวม้านั้น "ต้องนำผ้าขาวม้ามามัดเข้ากับมือข้างที่ถนัดและมัด ม้วน เข้ากันเหลือปลายผ้าขาวม้าไว้ประมาณ 1 ไม้บรรทัดเพื่อผูกปมด้านบน แล้วดึงให้สุดปลายผ้า ม้วนพับเก็บอีกครั้งส่วนผ้าที่ใช้ต้องเป็นผ้าขาวม้าอย่างเดียวเพราะใช้ผ้าอื่นไม่ได้ อาจมัดไม่สะดวก หรือขณะที่ใช้ลูกประคบอาจทำให้ลื่นเป็นอันตรายได้"
          นอกจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำมาผ่อนคลายความปวดเมื่อยให้กับตนเองแล้ว ลุงจำรัสยังเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทุกชุมชนในตำบล เพื่อนำความรู้ไปปฎิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
          ลุงจำรัสบอกถึงว่า ลูกประคบผ้าขาวม้านี้สามารถใช้ได้ดีกับอาการเมื่อย หลังจากนั่งรถมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยเอาลูกประคบสอดใส่ไว้บริเวณที่ปวดเมื่อย แล้วกดลงตรงจุดที่ปวดเมื่อยประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็หายดีเป็นปกติ
          นี่คือภูมิปัญญาไทยที่ประยุกต์จากการละเล่นในอดีต แต่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนวังน้ำคู้และผู้ต้องการบำบัดอาการปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี

ที่มา: หนังสือนิตยสารหมอชาวบ้าน "เรื่องน่ารู้" ประจำเดือนมกราคม 2556

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

ผ้าขาวม้าพาสุขภาพแข็งแรง



        "การออกกำลังกายนั้นถ้าทำน้อยไปร่างกายและจิตใจก็จะเฉา ถ้าทำมาไปร่างกายและจิตใจก็จะซ้ำ"
        เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการออำกำลังกายอย่างลึกซึ้ง และสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราจะน้อมนำมาป็นแม่แบบและนำไปปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบต่างๆ ในร่างกายแม้การออกกำลังกายจะไม่ยืออายุขัยให้ยืนยาวขึ้น แต่ทำให้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่เต็มไปด้วยคุณภาพ มีชีวิตชีวา (add life to years) ซึ่งจะมีผลต่อรูปแบบการดำรงชีวิตและสุขภาพโดยรวมค่อนข้างแข็งแรง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา
ผู้สูงอายุกับการออกกำลังร่างกาย
  • ออกกำลังด้วยกิจกรรมที่ชอบจะทำให้สนุก เพลิดเพลิน และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อย
  • การออกกำลังของผู้สูงอายุควรจะทำในระดับปานกลางที่ทำให้หายใจแรงขึ้น (ไม่ถึงขั้นหายใจหอบ)
  • สะสมให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือสัปดาห์ละ 5 วัน
  • หรืออาจออกกำลังรวดเดียว 30 นาที
  • แบ่งเป็นช่วงละ 10-15นาที แต่ควรไม่น้อยกว่า 30 นาที/วัน
  • หากออกกำลังเบาๆ เช่น เดินเล่น รำมวยจีนอย่างน้อยให้ได้วันละ 45-60 นาที
  • ออกกำลังกายให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน
  • พยามยามเคลื่อนไหวในการออกแรงที่เหมาะสมกับตนเอง
  • ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
  • ออกกำลังที่ทำให้หายใจแรงขึ้นอย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • ตั้งเป้าหมายทำกิจกรรมออกแรงครั้งเดียวหรือทำเป็นช่วงๆ ก็ได้ตามแต่สะดวก เช่น เดินเล่น เดินขึ้นบันได เดินไปธุระ ขี่จักรยานแทนการใช้รุกวาดใบไม้ลานหน้าบ้าน ทำสวนหย่อมในบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน เล่นกับลูกหลาน              
ออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้าเกิดประโยชน์อย่างไร
          การออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้าออกแบบโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬาผนวกกับหลักการและประสบการณ์ฟื้นฟูสมองและร่างกายผู้ป่วยของผู้เขียนเอง เพื่อให้เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย
          หลักการที่สำคัญของการออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้า คือ การเริ่มต้น ต้องทำอย่างเบาๆ ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัย แต่ละสัปดาห์ จนสามารถทำได้ 30 นาที
          จากนั้นสามารถเพิ่มความหนักหรือความเร็วของการทำกิจกรรมตามความเหมาะสมของร่างกาย อายุ โรคประจำตัว ทำน้อยดีกว่าไม่ทำ ทำมากได้ประโยชน์มาก พึงระลึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างรุนแรงทำระดับปานกลางก็เพียงพอต่อสุขภาพและมีความปลอดภัยสูง
          การเคลื่อนไหวร่างกายแค่ขยับเท่ากับสุขภาพ
          ผลที่ได้เป็นของคนที่ขยับตัว ถ้าขยับเร็วก็ได้สุขภาพดีเร็ว ขยับช้าก็ได้สุขภาพช้า แต่ดีกว่าไม่ขยับอะไรเลย
          ประโยชน์ที่ได้รับ
          1.  ชะลอความแก่ กระฉับกระเฉง และชะลอความเสื่อมของสมรรถภาพทางกาย
          2.  ลดน้ำหนักตัว ควบคุมไม่ให้น้ำหนักเกินหรืออ้วน
          3.  ทำให้การทรงตัว และการทำงานของอวัยวะต่างๆ มีการประสานสัมพันธ์กันดีขึ้น
          4.  ยึดอายุให้ยืนยาวขึ้น
          5.  มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ สมาธิในการทำงาน และอารมณ์ดี
          6.  ส่งผลดีต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียน ระบบหายใจ กล้ามเนื้อ กระดูกแข็งแรงและระบบขับถ่ายดีขึ้น
          7.  หัวใจทำงานได้ทนทานมากขึ้น สามารถบีบตัวแต่ละครั้งได้จำนวนเลือดที่มาก ทำให้การส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้มาก
          8.  ระดับไขมันในเลือดลดลง ลดอัตราการเกิดหลอดเลือดตีบตันที่หัวใจ สมอง และไต
          9.  ลดอุบัติการณ์ของการเกิดอัมพาตได้
         10.  เพิ่มภูมิต้านทานโรค
         11.  ทำให้สภาพจิตใจดีขึ้น ได้มีโอกาสเข้ากลุ่มออกกำลังกาย ได้พูดคุยผ่อนคลายความทุกข์ทางจิตได้
ข้อควรระวังขณะออกกำลังกายของผู้สูงอายุ
  • ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจร่างกายก่อนการออกกำลังกาย
  • เตรียมพร้อมแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ไม่ควรออกกำลังกายหลังกินอาหารมื้อหนักทันที
  • ไม่ควรออกกำลังกายขณะเป็นไข้หรือไม่สบาย
  • ไม่กลั้นหรือแบ่งลมหายใจขณะออกกำลังกาย
  • ควรออกกำลังกายหลังกินอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
  • ควรแต่งกายให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมและกิจกรรมการออกกำลังกาย
  • ควรอบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกายและคลายอุ่นร่างกายหลังออกกำลังกายทุกครั้ง
  • ควรจะผ่อนการออกกำลังกายจากความเร็วลงมาช้าเรื่อยๆ จนให้มีอัตราเต้นของหัวใจใกล้ปกติ
ความผิดปกติที่ต้องสังเกตขณะออกกำลังกาย
  • มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติขณะออกกำลังกายสูงกว่าค่าที่กำหนด
  • หัวใจเต้นเร็วไม่สม่ำเสมอ
  • เจ็บที่บริเวณหัวใจ ปวดแน่นบริเวณลิ้นปี่ หายใจไม่เต็มอิ่ม
  • รู้สึกเหนื่อย เหงื่อออกมาก ตัวเย็น วิงเวียนควบคุมลำตัวหรือแขนขาไม่ได้
  • รู้สึกหวั่นไหว หวิวทันทีโดยหาสาเหตุไม่ได้
  • มีอาการอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตบริเวณแขนขาอย่างกะทันหัน ตามัว พูดไม่ชัดหรือพูดตะกุกตะกัก
  • หัวใจเต้นแรงแม้จะหยุดพักขณะออกกำลังกาย ให้หยุดออกกำลังกายทันทีและปรึกษาแพทย์โดยด่วน
  • ชีพจรขณะออกกำลังกายสูงกว่าค่าที่กำหนด
  • นอนหลับไม่สนิทเหมือนปกติ
  • วันรุ่งขึ้นยังมีอาการกล้ามเนื้อล้ามาก
  • ไม่อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย ควรรออย่างน้อย 5-10 นาที ให้อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำลง และไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนเกินไป
ขั้นตอนการออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้า
              ขั้นที่1 อบอุ่นร่างกายหรือการอุ่นเครื่อง (warm up)
              ควรมีการอุ่นเครื่อง (warm up) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนออกกำลังกาย จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไปยังกล้ามเนื้อส่วนปลาย ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะป้องกันการบาดเจ็บต่อระบบข้อต่อและกล้ามเนื้อช่วยป้องกันการฉีกขาดของเอ็นและกล้ามเนื้อ
             ขั้นที่2 การออกกำลังกายที่ต่อเนื่อง
             ให้เริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ ค่อยๆ เพิ่มความหนักของการออกกำลังอย่างช้าๆ โดยสังเกตการเต้นของชีพจร และอาการหอบเหนื่อย (perceived exertion) เป็นสำคัญ
             ขั้นที่3  ระยะผ่อนคลาย (cool down)
             เป็นช่วงเวลาที่ระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบไหลเวียนกำลังปรับตัว เพื่อคืนสู่สภาวะปกติ เนื่องจากขณะออกกำลังกายจะมีการสูบฉีดเลือดไปยังกล้ามเนื้อแขนและขาในปริมาณที่มากกว่าปกติ 4-5 เท่า เมื่อหยุดออกกำลังกายทันที reflex vasodilatation ยังไม่กลับคืนสู่ปกติร่วมกับขาดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเพื่อไล่เลือดกลับสู่หัวใจ ทำให้ venous return ลดลงชั่วขณะ ซึ่งเป็นผลทำให้ความดันโลหิตลดลง เลือดที่ไปยังสมองจึงลดลงชั่วคราวเกิดอาการมึนงง เวียนศีรษะได้ ในผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบบางส่วน อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกหรือหัวใจวาย
              ออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยความหนักปานกลาง 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน
              ออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยความหนักสูง 20 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน
              การยกน้ำหนัก ในแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อ 8-12 ครั้งอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์
    ท่าออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้า  
    ท่าเตรียม
         1.  ยืนตรง แยกขาทั้ง 2 ข้างออกมาพอประมาณ
         2.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าระยะความกว้างประมาณหัวไหล่ตนเอง
         ขั้นที่1  การอบอุ่นร่างกายด้วยการยืดเหยียด (Stretching or Warm up)
          ประโยชน์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นขณะออกกำลังกาย
          1.  ท่าบิดขี้เกียจ สุด สุด
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้บ านหน้า
          2.  เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศรีษะ แขนตรงไม่งอข้อศอก
          3.  บิดตัวไปให้สุดทางด้านซ้ายค้างไว้ นับ 1-10 จากนั้นบิดตัวไปให้สุดทางด้านขวาค้างไว้ นับ 1-10
          2.  ท่าเอียงตัว ซ้าย-ขวา
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
          2.  จับผ้าขาวม้าด้วยมือทั้ง 2 ข้างจากนั้นให้เอียงตัวไปทางด้านขวาแขนหยียดตึง พยายามเหยียดตัวและแขนให้มากที่สุด นับ 1-10
          3.  กลับมาเอียงตัวไปทางด้านซ้ายแขนเหยียดตึง พยายามเหยียดตัวและแขนให้มากที่สุด ค้างไว้ นับ 1-10
          3.  ก้มตัวไปด้านหน้า
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
          2.  จากนั้นให้ก้มตัวไปด้านหน้าพร้อมกับเหยียดแขนทั้ง 2 ข้าง ในลักษณะแขนตรง พยายามเหยียดตัวให้มากที่สุด ค้างไว้ นับ 1-10
          4.  ก้มหน้าดูดิน
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
          2.  ก้มตัวลงไปให้ใกล้พื้นมากที่สุดพร้อมกับเหยียดแขนทั้ง 2 ข้างและขาให้ตรง ค้างไว้ นับ 1-10
          5.  เงยหน้าดูฟ้า
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
          2.  เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ แขนตรงไม่งอข้อศอก
          3.  เงยหน้าและพยายามดึงแขนที่จับผ้าขาวม้าไปด้านหลังให้มากที่สุด ค้างไว้ นับ 1-10
          ขั้นที่2  ออกกำลังกายต่อเนื่อง
          1.  ท่าบิดขี้เกียจไป-มา
          1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
          2.  เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ แขนตรงไม่งอข้อศอก
          3.  บิดตัวไปให้สุดทางด้านซ้ายแล้วบิดตัวกลับมาทางด้านขวา ให้ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           2.  ท่าเอียงตัว ซ้าย-ขวา
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหน้า
           2.  เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ แขนตรงไม่งอข้อศอก
           3.  เอียงตัวไปทางด้านขวา แขนเหยียดตึง พยายามเหยียดตัว และแขนให้มากที่สุด ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 1-10 ครั้ง
           4.  จากนั้นกลับมาเอียงตัวไปทางด้านซ้ายแขนเหยียดตึง พยายามเหยียดตัวและแขนให้มากที่สุด ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 1-10 ครั้ง  
           3.  ท่าพับศอกไป-มา
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าขึ้นเหนือศีรษะ
           2.  มือขวาจับผ้าขาวม้าและพับข้อศอกขึ้นเหนือศีรษะส่วนมือซ้ายดึงผ้าขาวม้าลงมาทางด้านข้างลำตัว
           3.  จากนั้นเปลี่ยนเป็นดึงแขนขวาลงมาด้านข้างลำตัวส่วนแขนซ้ายจะกลับไปอยู่ด้านบนเหนือศีรษะพับข้อศอก ให้ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           4.  ตีศอก
           1.  พับผ้าขาวม้าครึ่งหนึ่ง
           2.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าลักษณะคว่ำมือด้านหน้า
           3.  มือขวาจับผ้าขาวม้าแล้วบิดข้อมือ ข้อศอกเข้ามาด้านในตัวเอง จากนั้นให้ดึงข้อศอกขึ้น ส่วนมือซ้ายจับปลายผ้าขาวม้าไว้
           4.  เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายจับผ้าขาวม้าแล้วบิดข้อมือข้อศอกเข้ามาด้านในตัวเองจากนั้นให้ดึงข้อศอกขึ้นส่วนมือขวาจับปลายผ้าขาวม้าไว้
           5.  ท่าดึงผ้าขึ้น-ลงด้านหน้า
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าลักษณะคว่ำมือด้านหน้าและงอเข่าทั้ง 2 ข้าง
           2.  ให้ยกแขนขึ้นตรงไปด้านหน้า ระดับห้วไหล่แล้วค่อยๆ ลดลงที่หน้าขา ให้ยกจึ้นและลดลง ทำ 10 ครั้ง
           6.  โยกเข่า
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าลักษณะคว่ำมือด้านหน้าขา
           2.  ค่อยๆ งอเข่าขวาพร้อมกับยกแขนขึ้นตรงไปด้านหน้าไปทางด้านซ้าย จากนั้นค่อยๆ งอเข่าซ้ายพร้อมกับยกแขนขึ้นตรงไปด้านหน้าไปทางด้านขวาทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           7.  ท่าบิดสะโพกโยกย้าย
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าขึ้นเหนือศีรษะ
           2.  ถึงผ้าขาวม้าไปด้านซ้ายพร้อมกับดันสะโพกไปทางขวาและดึงผ้าขาวม้ากลับมาทางด้านขวาพร้อมดันสะโพกไปทางซ้ายให้ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           8.  ท่าขัดหลัง
           1.  ยกมือขวาขึ้นไปเหนือศีรษะพร้อมกับพับข้อศอกจับปลายผ้าขาวม้า ส่วนมือข้างซ้ายพับข้อศอกไปด้านหลังและจับปลายผ้าขาวม้าไว้
           2.  ใช้มือขวาดึงผ้าขาวม้าขึ้นส่วนมือซ้ายดึงผ้าขาวม้าลงให้ทำกลับ-ไป (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           3.  เปลี่ยนมาเป็นยกมือซ้ายขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับพับข้อศอกจับปลายผ้าขาวม้า ส่วนมือข้างขวาพับข้อศอกไปด้านหลังและจับปลายผ้าขาวม้าไว้
           4.  ใช้มือซ้ายดึงผ้าขาวม้าขึ้นส่วนมือขวาดึงผ้าขาวม้าลงให้ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
           9.  ท่าสะบัดสะบัดขัดสะโพก
           1.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าด้านหลัง
           2.  ดึงผ้าขาวม้าไปด้านหลังซ้ายพร้อมกับดันสะโพกไปทางขวาและดึงผ้าขาวม้ากลับมาทางด้านหลังขวาพร้อมดันสะโพกไปทางซ้าย ให้ทำกลับไป-มา (ซ้าย-ขวา) 10 ครั้ง
          10.  ท่าดันก้อนเมฆ
            1.  ยืนตรง แยกขาทั้ง 2 ข้างออกมาพอประมาณ
            2.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าระยะความกว้างประมาณหัวไหล่ตนเอง
            3.  ยกมือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าขึ้นเหลือศีรษะในลักษณะเหยียดตรง
            4.  มือทั้ง 2 ข้างออกแรงดึงผ้าขาวมือแล้วค่อยๆ งอศอกลงมาระดับหัวไหล่
            5.  เหยียดมือขึ้นเหนือศีรษะและลดลงทำสลับไป-มา ให้ทำ 10 ครั้ง
           11.  ท่าโม่แป้ง
             1.  ยืนตรง แยกขาทั้ง 2 ข้างออกมาพอประมาณ
             2.  มือทั้ง 2 ข้างจับผ้าขาวม้าระยะความกว้างประมาณหัวไหล่ตนเอง
             3.  บิดตัวไปทางซ้ายพร้อมยกแขนผ้าขาวม้าขึ้นระดับเอว
             4.  ดันแขนออกไปทางซ้ายมือก้มตัวเล็กน้อย
             5.  จากนั้นให้หมุนเอวตามไปทางซ้ายมือเป็นวงกลม
             6.  ให้หมุนข้างละ 10 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาเป็นหมุนทางด้านซ้ายอีก 10 ครั้ง     

    ที่มา: หนังสือนิตยสารหมอชาวบ้าน "เรื่องเด่นจากปก" ประจำเดือนมกราคม 2556  
              

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    กระตุ้นภูมิต้านทานดีวันดีคืน



              สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพทั้งกายและใจ ความห่วงใยจากคนรอบข้างถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การพิถีถิถันเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ผู้ป่วยจึงมองข้ามไม่ได้ เพราะเพียงความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากการได้รับ อาจจะสร้างความสุขให้ผู้ป่วยไม่รู้ลืม ทั้งยังช่วยให้อาการเจ็บไข้หายไปอย่างรวดเร็ว มีของขวัญดีๆ มาแนะนำดังนี้ค่ะ

              ชุดน้ำอาร์ซี (R.C. หรือ rejuvenating concoction) สูตรชีวจิต มีน้ำตาลกลูโคส ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอจากธรรมชาติ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย
              เชอร์รี่ มีวิตามินซีสูง ช่วยลดอาการอักเสบและต้านฟรีแรดิคัล
              น้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและอุดมด้วยสารอาหาร ตามตำราแพทย์แผนไทยกล่าวว่ามีสรรพคุณช่วยประสานกระดูก แก้ปวดเมื่อย แก้ผดผื่นคันใช้บำรุงผิว ลดผิวแห้งแตก หยาบกร้าน และใช้ชโลมผมช่วยให้ผมเงางาม
              เก๋าคี่ ฮ่วยกี้ ใช้ปรุงอาหาร อาจทำเป็นซุปเนื้อปลาผสมเก๋าคี่และสมุนไพรอื่นๆ สักถ้วยสำหรับผู้ป่วย ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงผิวพรรณให้แข็งแรง
              มังคุด มีสารแซนโทน (xanthone) ป้องกันการอักเสบและต้านฟรีแรดิคัล

    ที่มา :  หนังสือนิตยสารชีวจิต ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    13 Tricks หน้าเด็ก ไม่ง้อโบท็อกซ์


             
            คงไม่มีใครอยากหน้าแก่ก่อนวัย ฉะนั้น การมีหน้าเด็กกว่าวัยจึงเป็นที่ปรารถนาอย่างที่สุด
             ครั้นจะพึ่งโบท็อกซ์ หรือเลเซอร์ ก็เปลืองเหลือเกิน ซ้ำต้องเลือกแพทย์ที่ชำนาญด้วย ไม่อย่างนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงได้อีกต่างหาก แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้ไม่ยาก เพื่อให้หน้าแลดูเด็กกว่าวัยหรือดูเด็กลง ด้วยวิธีประหยัดและทำได้ง่าย ดังนี้
             1.  เสี่ยงอาหารจำพวกไขมัน นมเนย รวมทั้งอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เพราะการเผาผลาญอาหารจำพวกนี้ส่งผลให้เกิดฟรีแรดิคัลมาก ซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวและส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เสื่อมโทรมเร็วขึ้น
             2.  ควรอ่อนหวาน ไม่ใช่ทำตัวอ่อนหวานนะครับ แต่หมายถึงควรลดการกินอาหารรสหวานๆ เพราะความหวานจะไปทำลายโปรตีนในร่างกาย ซึ่งคอลลาเจนก็เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคอลลาเจนถูกทำลาย ผิวก็จะเกิดริ้วรอยได้ง่าย
             3.  งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดฟรีแรดิคัล ซึ่งเป็นต้นเหตุการเสื่อมของผิว
             4.  เสี่ยงการนอนเบียดหน้าลงกับหมอน เช่น นอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงให้หน้าเบียดหมอน เพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยที่เกิดจากการนอน (Sleep lines) ได้ ดังนั้น ท่านอนที่เหมาะสมคือท่านอนหงายครับ
             5.  เสี่ยงการหมกมุ่นกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดนานๆ หรือมากเกินไป เช่น ความเคร่งเครียด รวมถึงการเล่นอินเทอร์เน็ต หรือเฟซบุ๊ก และเกมต่างๆ แบบเอาจริงเอาจังและต่อเนื่องกันมากจนเกินไป
             6.  กินอาหารมื้อสุดท้ายก่อน 5-6 โมงเย็น
             7.  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
             8.  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้ลึก เหมือนที่อาจารย์สาทิส อินทรากำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตสอน
             9.  มองโลกในแง่ดี มีงานวิจัยพบว่า คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีผิวพรรณและหน้าตาที่อ่อนวัยกว่าคนอื่น นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่มองโลกในแง่ดียังเป็นคนโชคดีและพบแต่สิ่งดีๆเสมอ
            10. ใช้ครีมกันแดด เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะแสงแดดเป็นตัวการสำคัญทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินของผิว ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและหย่อนยาน จึงควรทาครีมกันแดดทุกวัน ถึงแม้อยู่ในบ้านหรือในออฟฟิศก็ตาม
            11.  ทาครีมบำรุงทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ทั้งผิวหน้า ผิวคอ และผิวตัวได้ยิ่งดี
            12.  ทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารแอนติออกซิแดนต์และกรดวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวพรรณไม่ให้เสื่อมก่อนวัย รวมทั้งช่วยสร้างคอลลาเจนใหม่ให้ผิว
             13.  พอกหน้าด้วยครีมสูตรธรรมชาติ โดยใช้แอ๊ปเปิ้ลและมะเขือเทศปั่นรวมกัน ผักและผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มีสารแอนติออกซิแดนต์และกรดวิตามินเอปริมาณมาก ช่วยให้หน้าเด็ก อ่อนกว่าวัย สามารถทำได้บ่อยทุกสัปดาห์
              ใครอยากมีใบหน้าเด็กกว่าวัยอยู่เสมอ ลองนำวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ นี้ไปใช้ และเริ่มทำตั้งแต่วันนี้เลยนะค่ะ ยิ่งทำเร็ว ก็ยิ่งคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นาน

    ที่มา:  หนังสือนิตยสารชีวจิต "เรื่องคลินิกรักผิว" ประจำเดือนมกราคม 2556  

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    กำจัดท็อกซิน เพื่อผิวสวยใส


    สำหรับวิธีกำจัดท็อกซินเพื่อคืนความสดใสให้ผิวกาย มี วิธีง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

    1.  ทำดีท็อกซ์ล้างพิษ
                    การทำดีท็อกซ์โดยใช้กาแฟสวนล้างลำไส้เป็นวิธีการกำจัดท็อกซินที่สะสมในร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยคนที่ไม่ได้ป่วย แต่ต้องการทำดีท็อกซ์เพื่อจุดประสงค์ในการล้างพิษ สามารถทำได้เดือนละครั้ง ครั้งละ 3-5 วันติดต่อกัน จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายสะอาดดีแล้วจึงหยุดทำไปสักระยะหนึ่ง และเมื่อรู้สึกว่าร่างกายสะอาดดีแล้วจึงหยุดทำไปสักระยะหนึ่ง และเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีสารพิษค่อยกลับมาเริ่มทำใหม่ (ส่วนการทำดีท็อกซ์ในกรณีของผู้ป่วย ดูรายละเอียดได้ในนิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 337 วันที่ 16 ตุลาคม 2555 คอลัมน์ ชีวจิต)

    2.  หยุดสะสมความเครียด
                    นอกจากปัจจัยภายนอกอย่างมลพิษรอบตัวแล้ว ศัตรูร้ายที่คอยทำลายผิวสวยของเรายังได้แก่ ความเครียด ศัตรูร้ายที่คอยทำลายผิวสวยของเรายังได้แก่ ความเครียด ซึ่งเป็นภัยเงียบต่อผิวกายที่เรามองไม่เห็น
                    ดังนั้นหากอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ หยุดนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด รู้จักปล่อยวางและพยายามคิดบวกเข้าไว้ เพื่อหยุดการกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้ผิวชราก่อนวัย โดยอาจหาเวลาไปนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตใจให้สวบ และจะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาในชีวิตได้อย่างเท่าทันมากขึ้น

    3.  ปลูกต้นไม้ ลดสารพิษรอบตัว
                    เครื่องใช้สำนักงานหรือของใช้ในบ้านเป็นแหล่งสะสมไอระเหยเป็นพิษที่หลายคนไม่เคยรู้ นอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ใช้วัสดุอื่นมาทำแทนไม้แท้ๆ ที่มีราคาแพงยังเต็มไปด้วยสารพิษฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งการปลูกต้นไม้ภายในอาคารจะสามารถช่วยดูดสารพิษเหล่านั้นได้ เช่น ยางอินเดีย มีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศภายในอาคาร วาสนาอธิษฐาน ใช้ดูดสารพิษฟอร์มาลดีไฮด์และสาวน้อยประแป้ง สามารถดูดสารพิษต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

    4.  ดูแลผิวด้วยสมุนไพร
                    หากไม่อยากให้สารพิษมาก่อกวนผิวสวยๆ ของเรา วิธีการพอกตัวด้วยสมุนไพรก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดและปลอดภัย ส่วนผสมก็หาได้ง่ายใกล้ตัว ได้แก่
                    ข้าวกล้อง (แช่น้ำบดละเอียด)   \tfrac{1}{2}  ถ้วย + นมสด  \tfrac{1}{2}  ถ้วย + น้ำมะขามเปียก ช้อนโต๊ะ + ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา + น้ำผึ้ง ช้อนชา
                    นำส่วนผสมเหล่านี้มาคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทาตัวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเช็ดออก และล้างตัวด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ
                    ลองใช้สูตรนี้ขัดผิวสัปดาห์ละครั้ง ผิวกายจะเนียนนุ่มและขาวใสขึ้นค่ะ

    ที่มา :  หนังสือนิตยสารชีวจิต  ''เรื่อง ความสวยความงาม"  ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    ออกกำลังกายเพิ่มเลือดฝาดกระชับผิวหน้า




              หนังสือ ดีท็อกซ์ถูกวิธี ชีวิตปลอดสาร เขียนโดยอาจารย์หวังหมิงหย่ง แปลโดยรำพรรณ  รักศรีอักษร สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ  กล่าวว่า เมื่อออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการขับสารพิษ ระบบขับถ่ายและการไหลเวียดเลือก คงความเป็นหนุ่มสาว ทำให้สุขภาพแข็งแรง
              ครูมด- เบญจามณี  คำเหมือง  ผู้เขียนหนังสือโยคะกระชับรูปร่าง ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ อธิบายว่า ศาสตร์โยคะช่วยบริหารทั้งกายและจิต เมื่อใจสงบสุข ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) หน้าตาจะอิ่มเอิบ สดใส รูปร่างกระชับได้สัดส่วน ช่วยเสริมบุคลิก และช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้น่ามอง
              ชีวจิตจึงนำโยคะ 5 ท่า สำหรับฝึกเพื่อช่วยเพิ่่มเลือดฝาดพร้อมกระชับผิวหน้าและลำคอมาฝากค่ะ

    1.  ทำให้ใบหน้ามีเลือดฝาด

         ขณะก้มศรีษะลงต่ำ เลือดจะไปเลี้ยงใบหน้า หนังศีรษะและเส้นผม ทำให้ผิวหน้ามีเลือดฝาด เต่งตึงแลดูอ่อนเยาว์ และช่วยให้รากผมแข็งแรง กระชับกล้ามเนื้อหน้าอก ทำให้หน้าอกไม่หย่อนคล้อย และท้องแขนไม่ห้อยย้อย
    วิธีปฎิบัติ
         -  ยืนตรง เท้าชิด มือประสานไว้ด้านหลัง หายใจเข้ายืดอกขึ้น
         -  หายใจออก โน้มตัวลงช้าๆ ดันแขนขึ้นให้มากที่สุด
         -  ค้างท่า นับ 1-10 หายใจปกติ
         -  หายใจเข้า กลับสู่ท่าเตรียม หายใจออก

    2.  แก้ปัญหาริ้วรอยแลตีนกา

         ขณะห่อปาก กล้ามเนื้อบริเวิณหนังตา หางตา และหน้าผากจะถูกดึงรั้ง ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา เลือดจะไปเลี้ยงบริเวณใบหน้า ช่วยให้เหงือกและริมฝีปากระเรื่อ กระตุ้นเซลล์ผิวหน้าให้เปล่งปลั่งและดูดซึมสารอาหารได้ดี
    วิธีปฏิบัติ
         -  นั่งคุกเข่าบนส้นเท้า มือวางราบบนต้นขา
         -  หายใจเข้า ห่อริมฝีปากบนและล่างเข้าหากันให้มากที่สุด หายใจออก
         -  ค้างท่า นับ 1-10 หายใจปกติ
         -  หายใจเข้า กลับสู่ท่าเตรียม หายใจออก

    3.  ลดไขมันใต้คาง
         
         ขณะกล้ามเนื้อหน้าอกดึงรั้งกันจะช่วยให้หน้าอกไม่คล้อยต่ำ ผิวบริเวณลำคอกระชับ เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น และลดไขมันใต้คาง เมื่อยืดสะโพกเพื่อแอ่นหน้าอกและเงยหน้าทำให้เลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะ ใบหน้าจะมีเลือดฝาด เปล่งปลั่งสดใส
    วิธีปฎิบัติ
         -  นั่งพับขา แยกเข่า วางก้นติดพื้น
         -  หายใจ้เข้า ยืดสะโพก แอ่นอกขึ้นหายใจออก
         -  หายใจเข้า ยกศีรษะไปด้านหลังช้าๆ หายใจออก
         -  ค้างท่า นับ 1-10 หายใจปกติ
         -  หายใจเข้า กลับสู่ท่าเตรียม หายใจออก

    4.  แก้ปัญหาคาง 2 ชั้นและลำคอสั้น
         
         การเงยหน้าขึ้นจนสุดช่วยบริหารกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ ผิวจะไม่เหี่ยวย่นลดคาง 2 ชั้นและแก้ปัญหาคอสั้น ท่านั่งจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณขาด้านใน ลดไขมัน ช่วยให้สะโพกได้สัดส่วนสวยงาม
    วิธีปฎิบัติ
         -  นั่งตัวตรง ประกบฝ่าเท้า ประสานมือดึงข้อเท้าเข้ามาชิดโคนขา
         -  หายใจเข้า ยืดตัวและหลังตรง หายใจออก
         -  ค้างท่า นับ 1-10 หายใจปกติ
         -  หายใจเข้า กลับสู่ท่าเตรียม หายใจออก

    5.  แก้ปัญหาหน้าย่นและแก้มห้อย

         ขณะเบิกตากว้างจะช่วยบริหารใบหน้าทั้งหมดกระชับกล้ามเนื้อทุกส่วน ทั้งคาง รอบริมฝีปาก ข้างแก้ม โหนกแก้ม คิ้ว และหน้าผาก ทำให้ใบหน้าไม่เหี่ยวย่น แก้ปัญหาแก้มห้อย ป้องกันริ้วรอยและตีนกา
    วิธีปฎิบัติ
         -  นั่งคุกเข่าบนส้นเท้า มือวางราบบนต้นขา
         -  หายใจเข้า โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ กางนิ้วมือออกให้สุด เกร็งไว้
         -  ก้มศีรษะลง ห่อปากเข้า แลบลิ้นออกมาให้สุดเบิกตากว้าง หายใจออก
         -  ค้างท่า นับ 1-10 หายใจปกติ
         -  หายใจเข้า หดลิ้นกลับเข้าไป หุบนิ้วมือ กลับสู่ท่าเตรียม หายใจออก

    ที่มา : หนังสือนิตยสารชีวจิต "เรื่องผิวสวยด้วยธรรมชาติ" ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556   

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    สูตรลดอ้วนสำหรับเพื่อนช้าง



              บางทีการลดความอ้วนไม่สำเร็จไม่ใช่เพราะกินผิดๆ หรือออกกำลังกายไม่ถูกวิธี แต่มีสาเหตุมาจากการที่คนใกล้ตัวไม่ให้ความร่วมมือหรือสนับสนุน
           คนที่มีน้ำหนักเกิดอาจกำลังรู้สึกโดดเดี่ยว ท้อแท้ หรือต้องการแค่ใครสักคนที่จะบอกว่าเขาหรือเธอจะลดความอ้วนสำเร็จได้ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากและมีบทบาทในทุกๆ เรื่อง ไม่แน่ว่า ถ้าได้รับความปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยม สุขภาพกายใจแข็งแรงและหุ่นสวยเป๊ะอาจไม่ไกลเกินเอื้อม นำของขวัญเหล่านี้ไปฝากเพื่อนกันค่ะ
            น้ำสลัดประเภทน้ำใส (ชนิดผสมน้ำมันมะกอก) มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ มีสารอาหารและแร่ธาตุบำรุงน้ำดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้เป็นยาระบายอ่อนๆ และบำรุงระบบหมุนเวียนโลหิต
            ชา นักวิจัยจากองค์การอาหารและเกษตรประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่า ดื่มชาร้อนวันละ 5 ถ้วยช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีลง และดื่มชาดำวันละถ้วยจะป้องกันความเสี่ยงภาวะหัวใจวาย
            ลูกเดือย ช่วยแก้ร้อนใน บำรุงกระเพาะอาหารช่วยขับปัสสาวะ ลดคอเลสเตอรอลและภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
            เม็ดแมงลัก ช่วยเพิ่มใยอาหาร ลดอาการท้องผูก ช่วยหล่อลื่น ทำให้อุจจาระอ่อนตัว ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานขึ้น สามารถกินทดแทนอาหารว่าง (ระหว่างมื้อ) เมื่อหิว เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารว่างจนเกิดอาการโหย
            ข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารปริมาณมาก ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและชะลอการย่อย มีวิตามินอีและแมกนีเซียมสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน

    ที่มา :  หนังสือนิตยสารชีวจิต ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556
         

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    สูตรแก้เงอะงะวัยหง่อม



                 ของขวัญสำหรับผู้สูงอายุควรเป็นของบำรุงสุขภาพและบรรเทาอาการเต็บป่วยไปพร้อมกัน หากเป็นอาหาร ต้องเบือกที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงปลอดภัยและเคี้ยวง่าย เพื่อสะดวกต่อการกลืน ร่างกายดูดซึมเร็วและนำไปใช้ได้เต็มที่ของขวัญที่จะแนะนำมีดังนี้ค่ะ
        
           ถั่วเหลือง เต้าหู้ มีแคลเซียมและโปรตีนสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และมีเปปไทด์ (peptide) ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวล เพิ่มประสิทธิภาพสมองส่วนการเรียนรู้
            ข้าวกล้อง มีใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย และมีโคลีน (choline) บำรุงระบบประสาท ป้องกันภาวะความจำเสื่อมหลงลืม หรืออัลไซเมอร์ และมีกลูโคสช่วยเพิ่มพลังงานให้สมอง
            เครื่องดืมธัญญาหาร มีวิตามินบีหลายชนิด ช่วยคลายความอ่อนล้า บำรุงสมอง และมีแคลเซียม ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
            งา มีโปรตีนและวิตามินบี ช่วยบำรุงสมอง ลดและป้องกันอาการเหน็บชา มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าผักทั่วไปถึง 20 เท่า ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อและกระดูกและบำรุงฟันให้แข็งแรง

    ที่มา :  จากหนังสือนิตยสารชีวจิต ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    ของขวัญเพื่อผิวสวยวัยเรียน



              วัยเรียนไปจนถึงวัยทำงาน เรียกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตโลดโผน ใช้พลังงานเยอะ และที่สำคัญ ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแล้สุขภาพเท่าไรนัก แต่หากเริ่มต้นดูแลร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารถูกต้องพักผ่อนเพียงพอ รับรองว่าผิวสวยใสจะไม่หนีไปไหนแน่นอน จึงชวนมาเลือกของขวัญให้หนุ่มสาวกันค่ะ

               ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ควรกินแทนขนมหวานขณะอ่านหนังสือ ดูภาพยนต์ หรือฟังเพลง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วลันเตา ถั่วลิสงจะช่วยลดความเสี่ยงโรงมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะมีใยอาหารชนิดละลายน้ำและแมกนีเซียมสูงมาก
               น้ำเอนไซม์สูตรชีวจิต น้ำคั้นจากแครอตช่วยล้างไขมันและช่วยในการทำงานของตับ น้ำคั้นจากแคนตาลูปและแตงโมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไต น้ำคั้นจากเซเลอรี่ช่วยฟอกเลือดทำให้ผิวใส
               โยเกิร์ตน้ำเต้าหู้ (sory yogurt) มีวิตามินบี 12 และแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ช่วยลดอาการท้องผูก บำรุงผิวพรรณให้สดใส
               สาหร่ายทะเล มีสังกะสี (zinc) ปริมาณสูงรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านความแก่ชรา
               กล้วยหอม มีโครเมียม ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ ส่งเสริมการทำงานของอินซูลิน ป้องกันเซลล์แบ่งตัวผิดปกติ  ลดสิวและผดผื่น ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ

    ที่มา : จากหนังสือนิตยสารชีวจิต ประจำวันที่ 1 มกรมคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    สำรวจหน้า สำรวจโรค


               
              ตามหลักการแพทย์แผนจีนนั้นเชื้อว่า ใบหน้าคือหน้าต่างที่สะท้อนความผิดปกติของอวัยวะภายใน
               ปักษ์นี้ชีวจิตจึงขอชวนมาถอดรหัสร่างกายจากใบหน้า ตามหลักการของ Dr.Maoshing Ni แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งการชะลอวัย (Anti-aging Medicine) ของประเทศจีนค่ะ
                หน้าผาก สอดคล้องกับธาตุไฟ ใช้บ่งบอกอาการเกี่ยวกับหัวใจและระบบขับถ่าย
                หากหน้าผากแดงผิดปกติ แสดงว่าหัวใจอาจมีปัญหา แต่ถ้าหน้าผากเป็นสีเขียวคล้ำและมีอาการวิงเวียน หายใจไม่สะดวกปวดแขนข้างซ้าย อาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการหัวใจวาย
                จมูก เปรียบได้กับธาตุดิน แสดงถึงอาการเกี่ยวกับท้องม้าม และตับอ่อน
                 ใครเป็นสิวที่ปลายจมูกหรือข้างจมูก แปลว่าระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี จึงควรงดอาหารไขมันสูง ส่วนคนที่จมูกแดงและมองเห็นเส้นเลือดฝอยชัด แปลว่ามีความเครียดสูง จึงควรผ่อนคลายบ้าง
                 คาง สัมพันธ์กับธาตุน้ำ จึงเกี่ยวข้องกับไต กระเพาะปัสสาวะ และต่อมที่คัดหลั่งสารและฮอร์โมน
                 ถ้าเป็นสิวที่คางบ่อย แปลว่าฮอร์โมนไม่สมดุลหรืออาจมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ แพทย์แผนจีนยังเชื่อว่า ผู้ที่มีคางเล็กจะป่วยเป็นโรคไตได้ง่ายแต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วยค่ะ
                 ใบหน้าซีกซ้าย คือธาตุไม้ สัมพันธ์กับตับและถุงน้ำดี
                  หากมองเห็นเส้นเลือดฝอยและรอยแดงบริเวณนี้ หมายความว่าภายในร่างกายมีการอักเสบและมีสารพิษสะสมในตับมาก ส่วนใต้ตาซ้ายของใครเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจะหมายถึงระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเกินไป หรืออาจเป็นนิ่ว
                  ใบหน้าซีกขวา คือธาตุโลหะ เชื่อมโยงกับปอดและลำไส้ใหญ่ 
                   คนที่ปอดหรือลำไส้ใหญ่มีปัญหา จะมีใบหน้าหมองคล้ำเป็นผื่นแดง คัน หรือเป็นสิวมากในบริเวณแก้มข้างขวา แต่ถ้ามีผดผื่นและสีของใบหน้าออกเขียวคล้ำ จะหมายถึงการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
                   สำรวจเสร็จแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอด้วยโรคภัยจะได้ไม่มาเยือนอย่างถาวรค่ะ

    ที่มา : จากหนังสือนิตยสารชีวจิต "เรื่อง เกร็ดสุขภาพ" ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0

    5 Trick เลือกชาเขียวคุณภาพ


                 ชั่วโมงนี้เชื่อว่าชีวจิตมือโปรหลายคนอาจเป็นแฟนพันธุ์แท้ชาเขียวกันอยู่แล้ว
             ชาเขียวนั้นนอกจากดื่มเพื่อเสพเอารสชาติที่แสนจะละมุนละไมกันแล้ว เรายังดื่มเพื่อประโยชน์ที่มีอยู่มากมายกันอีกด้วย การเลือกชาเขียวให้ได้คุณภาพดีจึงจำเป็น ชีวจิตมีคำแนะนำดังนี้ค่ะ
              1. ดมชา  เพราะกลิ่นใบชาเป็นตัวชี้วัดคุณภาพได้ หลับตาแล้วสูดกลิ่นหอมของใบชา ใบชาเขียวที่ดีจะให้กลั่นหอมจางๆ คล้ายหญ้าสดตามธรรมชาติ ถ้าไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แสดงว่าเป็นใบชาเก่า
              2. ดื่มชา  หากเป็นไปได้ ให้ทางร้านชาชาให้ดื่ม ชาเขียวที่ดีจะมีรสชาติจืด ไม่ขมจิบหลายๆ ครั้งจะช่วยให้ทดสอบรสชาติได้ชัดเจนขึ้น
               3. ดูสีชา ก่อนดื่มควรดูสีของน้ำชาเขียวที่ชงแล้ว ใบชาเขียวที่มีคุณภาพดีจะให้สีเขียวอ่อน ถ้ามีสีทองหรือน้ำตาล นั่นแสดงว่าเป็นชาคุณภาพที่ต่ำกว่าและมักให้รสเข้ม
               4. เลือกใบชาเขียวแบบไม่อยู่ในซอง จะปล่อยสารคาเทชิน (Catechin) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายออกมาได้มาก หากเป็นชาเขียวแบบซอง แช่ซองชาในน้ำร้อนแล้วบีบซอง เพื่อให้สารคาเทชินออกมามากที่สุด
                5. ดูวันเดือนปีที่ผลิตทุกครั้ง เพราะชาเขียวจะสามารถคงคุณภาพไว้ได้ดีที่สุดหลังจากบรรจุในบรรจุภัณฑ์แล้วประมาณ 6 เดือน และเมื่อเปิดนำมาชงดื่มแล้วควรดื่มให้หมดภายใน 2-3 เดือน  
                ใส่ใจในรายละเอียดสักนิด เพื่อให้ได้ชาเขียวที่ดีต่อสุขภาพจริงๆค่ะ

    ที่มา : จากหนังสือนิตยสารชีวจิต "เรื่อง เกร็ดสุขภาพ" ประจำวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

    • Digg
    • Del.icio.us
    • StumbleUpon
    • Reddit
    • RSS
    Read User's Comments0